การใช้งบสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัล ได้รับความสนใจจากแบรนด์ต่างๆ ต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการขยายตัวของประชากรออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นจำนวนทุกปีปัจจุบันมีกว่า 25 ล้านคน อีกทั้งการให้บริการ 3จี บนคลื่น 2100 เมกะเฮิร์ตซปีนี้ ช่วยส่งเสริมให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือเพิ่มขึ้น เห็นได้จากจำนวนผู้ใช้งานเฟซบุ๊คในประเทศไทยกว่า 22 ล้านราย ในจำนวนดังกล่าว 11 ล้านราย หรือ 50% ใช้งานผ่านมือถือ นับเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันการเติบโต”ดิจิทัลมีเดีย” ในปีสหรัฐ สวัสดิ์อธิคม กรรมการผู้จัดการร่วม บริษัท ซีเจ เวิร์ค จำกัด กล่าวว่าภาพรวมของโฆษณาดิจิทัลในไทยมีการ “เติบโต” อย่างชัดเจน หากเทียบกับปีก่อนทั้งในแง่เม็ดเงินและจำนวนลูกค้าของเอเยนซี่ที่เพิ่มขึ้น 100% โดยลูกค้าของซีเจเวิร์คเองเพิ่มขึ้นเท่าตัวเช่นกัน ขณะที่ลูกค้าจัดสรรงบผ่านสื่อดิจิทัลมากขึ้นความต้องการของลูกค้า คือกลุ่มเจ้าของแบรนด์เจ้าของสินค้าในปัจจุบัน เมื่อเข้ามาติดต่อกับเอเยนซี่ จะบอกชัดเจนว่าต้องการใช้สื่อดิจิทัลโดยตรง จากเดิมที่ใช้เป็นเพียงสื่อเสริมสื่อหลักเท่านั้น

พบว่าวัตถุประสงค์การใช้สื่อดิจิทัลส่วนใหญ่ต้องการให้แบรนด์หรือการเปิดตัวสินค้าเป็นที่รู้จัก ผ่านรูปแบบไวรัล ออนไลน์ และกลยุทธ์การตลาดหลากหลาย ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเว็บไซต์ หรือโฆษณาแบนเนอร์เท่านั้น เพราะลูกค้าจำนวนมากเห็นความสำเร็จจากการใช้สื่อนี้ ที่สามารถสร้างกระแสแบบ “ดังได้เพียงชั่วข้ามคืน”ปัจจัยการเติบโตของสื่อดิจิทัลมาจากเทคโนโลยีที่พัฒนาทั้งอุปกรณ์กลุ่มสมาร์ท ดีไวซ์ และเครือข่ายสื่อสารที่เร็วขึ้น ทั้งบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต ที่เดิมสปีดอยู่ที่ 3-4 เมกะบิทต่อวินาที มาปีนี้ความเร็วเพิ่มเป็น 10 เมกะบิทต่อวินาที ทำให้การดาวน์โหลดคอนเทนท์สื่อโฆษณาประเภทคลิปวีดิโอสะดวกและรวดเร็วขึ้น อีกทั้งการเปิดให้บริการ 3จี ปีนี้จะเร่งขยายการให้บริการ”โมบาย บรอดแบนด์” ในพื้นที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น

โดยรูปแบบการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล แบ่งออกเป็น 6 ประเภท โดยกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องปีนี้ คือ เสิร์ช คิดเป็นสัดส่วนของภาพรวมงบโฆษณาที่ 16.22% สูงกว่าปีก่อนที่สัดส่วน 14.17% และโซเชียล มีเดีย ที่สัดส่วน 12.86% จากปีก่อนอยู่ที่ 10.33% ขณะที่รูปแบบการโฆษณาประเภทดิสเพลย์ มีสัดส่วน 45.87% ลดลงจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 48.07% เนื่องจากแบรนด์และสินค้าต่างๆ ปรับกลยุทธ์ การสื่อสารจากการลงโฆษณาแบนเนอร์ในดิสเพลย์ ไปเป็นรูปแบบการพัฒนาเว็บไซต์ บล็อก โซเชียล มีเดีย แอพพลิเคชั่น ที่เป็นของแบรนด์เอง เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค

ออนไลน์เริ่มปรากฎตัวมากขึ้นบนโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์พกพา เครื่องบินและคอมพิวแตอร์ในรูปแบบที่หลากหลายและมากด้วยประโยชน์ ทั้งที่ใช้เป็นแหล่งข้อมูลผ่านเว็บไซต์ เป็นแอพพลิเคชั่นเพื่อความบันเทิงหรือธุรกิจ เป็นเครือข่ายชุมชนออนไลน์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือเป็นแพลตฟอร์มของการสื่อสารแบบใหม่ ซึ่งล้วนแต่ชวนให้ผู้คนหลงไหลและพกพาไปตามที่ต่างๆ เป็นเหตุให้นักการตลาดต้องเข้าใจสื่อใหม่นี้ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิดที่สุด ด้วยความนิยมของโซเชียลเน็ตเวิร์คและความง่ายในการใช้งาน อุปกรณ์พกพาต่างๆ วันนี้ออนไลน์ถูกเปรียบให้เป็นมากกว่าช่องทางสื่อโฆษณา และได้ถูกเทียบเคียงให้เป็นเครื่องมือทางด้านสิทธิมนุษยชนด้วย

คำว่า “ออนไลน์” มักหมายถึงการที่อุปกรณ์เชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต ผ่านระบบไร้สาย รวมถึงระบบเครือข่าย 3G ได้รับความนิยมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าออนไลน์ในปัจจุบันเข้าใกล้ผู้บริโภคอย่างแยบยลผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์พกพา เช่น ipad หรือ Tablet ต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจว่าการตลาดยุคใหม่นี้คงไม่พ้นเรื่องออนไลน์อย่างแน่นอนได้มีการกล่าวถึง “คนสายพันธุ์ดิจิตอล” หรือ “คนดิจิตอล” ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดในยุคที่เทคโนโลยีดิจิตอลถูกใช้อย่างกว้างขวาง เช่น คนวัยเริ่มงาน นักศึกษาหรือนักเรียน ที่มีความคุ้นเคยในการใช้ออนไลน์และสื่อดิจิตอลเป็นอย่างดี สังเกตุได้จากการพกโทรศัพท์มือถือไปด้วยทุกแห่ง เก็บและสร้างบุคลิกของตนเองในโลกออนไลน์ และไม่กลัวที่จะแชร์ข้อมูลกับเพื่อฝูงหรือแม้แต่คนแปลกหน้า ผ่านโซเชียลเน็กเวิร์คต่างๆ

คนสายพันธุ์ดิจิตอลเหล่านี้มักจะรวมตัวอยู่ในชุมชนออนไลน์ โดยจะคุยและเขียนถึงกันในทุกเรื่อง ตั้งแต่บทเรียน กิจกรรมยามว่าง แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์และความรัก ที่สำคัญคือคนกลุ่มนี้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในสังคมและเศรษฐกิจ จนยากที่นักธุรกิจหรือผู้ใหญ่ทั้งหลายจะมองข้ามเก็กรุ่นใหม่เหล่านี้ได้นักการตลาดต่างตระหนักถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนดิจิตอลเหล่านี้ ตลอดจนความมีตัวตนและเครือข่ายในโลกออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์ค การเข้าถึงคนกลุ่มนี้คงไม่ใช่เรื่องของการโฆษณาเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้างเนื้อหาเรื่องราว ข้อมูลและสิ่งจำเป็นที่ทำให้คนเหล่านี้วิ่งมาหาและติดตามได้เองทุกวัน ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งสำหรับคนดิจิตอล

เราเชื่อว่าหลักการดำเนินธุรกิจที่ดีคือการลงทุนในทุกรายละเอียดอย่างคุ้มค่า ทั้งเรื่องการผลิต เทคโนโลยี การจัดซื้อ การดูแลเรื่องการขนส่งผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการจัดจ้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูงเข้าสู่องค์กรด้วย แต่ดูเหมือนยังมีสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่พยายามหันหน้าหนี บางครั้งก็ปิดตาข้างหนึ่งมองข้ามสิ่งดังกล่าวไปนั้นคือ “การโฆษณา” ในอดีตโฆษณาถูกมองว่าค่อนข้างสิ้นเปลือง ไม่เกิดประโยชน์หรือคุ้มค่าการลงทุนในเม็ดเงินที่จ่ายลงไป อีกทั้งทัศนคติในทางแง่ลบของทางผู้บริโภคที่มีต่อสื่อโฆษณาว่าหลอกลวงและทำการโฆษณาลักษณะชวนเชื่อเกินความเป็นจริง เจ้าของธุรกิจหลายคนโดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจหน้าใหม่ไม่ค่อยสนใจการทำโฆษณามากนัก ด้วยเหตุผลหลักที่ว่าต้องใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล ทั้งยังวัดผลสำเร็จที่เกิดจากการโฆษณาได้น้อยมาก ขณะที่ธุรกิจของตัวเองเพิ่งเกิดใหม่และยังทำกำไรได้น้อย จึงหาทางหลีกเลี่ยงกันหันไปใช้พนักงานขายโดยตรงกันเสียมากกว่า แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านงานศึกษาวิจัยที่เพิ่มขึ้น ทัศนคติของสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้แง่มุมที่มีต่อการโฆษณาดีขึ้นตามลำดับด้วย หลายบริษัทใช้การโฆษณาเป็นสื่อเพิ่มยอดขายซึ่งสร้างความสำเร็จอย่างงดงาม จึงทำให้โฆษณาเป็นสื่อยอดฮิตของแต่ละบริษัทขณะนี้ และกลายเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทของเราต้องเริ่มพิจารณาเรื่องสร้างโฆษณาให้กับบริษัทแล้ว

ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจเสียก่อนว่า การโฆษณามีความเป็นสื่อสารมวลชนและถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้เพื่อการประกาศสินค้าหรือบริการเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชน จะเห็นว่านักการตลาดและนักโฆษณามักทำงานควบคู่กันเสมอ โดยโฆษณาสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น โฆษณาทางสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อป้ายโฆษณากลางแจ้ง และสื่อโฆษณา ณ จุดขาย เป็นต้นการโฆษณาทำให้เกิดความต้องการสินค้าในทันที หมายถึงเมื่อผู้บริโภคได้รับชมโฆษณาสินค้าหรือบริการของเราแล้วมีปฏิกิริยาหรือ Take Action ต้องการใช้สินค้าของเราขึ้นมา นั่นหมายความว่าการทำการโฆษณาประสบความสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว คือสามารถขายสินค้าและบริการออกไปได้ และนำมาซึ่งเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทของเรา สิ่งนี้คือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการทำโฆษณา จะเห็นได้ว่าการทำโฆษณามีข้อดีต่อบริษัทมาก ถึงแม้ต้องใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็มีความคุ้มค่ามากเช่นกัน อีกทั้งบริษัทที่มีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับสังคม ระดับประเทศ หรือในระดับโลก ทุกบริษัทต่างก็มีการทำโฆษณากันทั้งนั้น อย่างน้อยถ้าไม่ใช่เพื่อขายสินค้าก็ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี บางบริษัทถึงกับมีฝ่ายโฆษณาเป็นของตัวเองด้วยซ้ำไป อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการวัดผลจากการทำโฆษณาในปัจจุบันก็สามารถทำได้ง่ายและมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง เราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เพราะลงทุนทำโฆษณาอีกต่อไป